๗.
คาถาของแม่
แม่ไม่ใช่พระอรหันต์
เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีคุณธรรมหลายประการ
ดังได้พรรณนามาแล้ว
ความบกพร่องย่อมมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา
แต่ไม่ใช่วิสัยของลูกที่จะมาบรรยาย
แม่มีคาถาอยู่
๓ - ๔ ข้อ
ซึ่งถ้าอธิบายให้ทราบ
บางทีจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย
ความมานะเด็ดเดี่ยว
เป็นคาถาข้อแรกของแม่ที่เห็นได้ชัดจากประวัติของท่าน
เมื่อตั้งใจจะทำอะไร
โดยเห็นแน่วแน่แล้วว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม
ก็ต้องทำให้ได้แม้จะต้องเสี่ยงต่ออันตราย
ความยากลำบาก
ใครจะนินทาเย้ยหยันอย่างไรก็ต้องมานะอดทน
โดยหวังประโยชน์ถาวร
จะเด็ดเดี่ยวได้ต้องกล้าหาญ
แต่กล้าหาญไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยโดยไร้ประโยชน์
แม่ไม่เคยขลาดและไม่เคยบ้าบิ่น
แต่กล้าหาญกว่าใครๆ
แม่รักอิสรภาพและเสรีภาพยิ่งกว่าชีวิต
ถ้าท่านยอมไปอยู่เมืองจีนเมื่อท่านเป็นหม้ายใหม่ๆ
บางทีชีวิตของแม่อาจจะยืนนานกว่าที่เป็นอยู่
แต่แม่ไม่เคยจะให้ใครเลี้ยง
เงินอุปการะของลุงท่านถือว่าเป็นสิทธิ์ของท่านที่ควรได้
เพราะเตี่ยได้ช่วยลุงทำงานจนสร้างบ้านที่เมืองจีได้ใหญ่โต
ท่านพูดให้ฟังเสมอว่าไปให้ลุงเลี้ยงที่เมืองจีนก็เหมือนไปเป็นนกขุนทองอยู่ในกรง
บินไปไหนไม่ได้ตามชอบใจ
เช้าค่ำมีอาหารกินจะพูดตามใจตัวก็พูดไม่ได้
พูดไม่ได้ตามใจไม่ใช่ไทยแท้
คาถาข้อต่อไปคือความซื่อสัตย์สุจริต
แม่พูดบ่อยๆว่าเลี้ยงลูกมาไม่ได้เอาเปรียบใคร
ไม่ให้คดในข้องอในกระดูก
ต้องถือสัตย์
ต้องคงวาจาสัตย์
เมื่อแม่เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว
ไม่สามารถชำระคืน
เขา
แม่ก็จะปักใจจะรับกรรมด้วยชีวิต
ครั้นบุญมาวาสนาส่งให้ได้เงิน
เจ้าหนี้กี่รายๆ
ทั้งที่ไม่เคยทวง
แม่ก็ชำระคืนหมดทั่วหน้า
บางรายให้ยืมมาจนลืม
ก็ยังชำระให้หมดสิ้น
ความใจกว้างเมตตากรุณานั้น
แม่ปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง
ท่านว่าคนเราก็ต้องมีเรื่องทุกข์ร้อนกันทั้งนั้น
ถ้ามนุษย์ไม่ช่วยซึ่งกันและกันแล้วโลกจะแคบ
มีคนเตือนแม่ว่าทำไมใจกว้างนัก
ใครขออะไรก็มักจะให้
แม่ก็ตอบว่าถ้าเขาไม่ลำบากจริงๆแล้ว
เขาจะบากหน้ามาขอเราหรือ
แม่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครตำหนินินทาได้
และไม่ให้ใครดูถูก
แต่ถ้าใครเอาความเท็จมานินทา
แม่ก็ไม่สนใจ
บอกว่าอย่าเอาใจใส่กับคนพาล
เช่น
เมื่อถูด่าว่าเป็นฮวนเกี๊ย
หรือล้อว่าเป็นไอ้เจ๊ก
ท่านก็บอกว่าเขาไม่รุ้จะติเราว่าอย่างไรแล้ว
จึงหยิบเอาเรื่องส่วนตัวมาว่ากัน
ฉะนั้น
เมื่อผมอายุมากแล้วกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องสำคัญๆ
เกี่ยวกับเสรีภาพของบ้านเมือง
ใครมาตอดเรื่องส่วนตัว
เช่น
ยั่วว่าผมกินขนมปัง
นอนกับฝรั่ง
ก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะเขาจนต่อเหตุผลของเราแล้วจึงแว้งไปพูดเรื่องส่วนตัว
หรือมีคนหาว่าขี้ขลาด
ดีแต่อบอุ่นอยู่เมืองนอก
ทิ้งเพื่อนฝูงไว้ให้เผชิญอันตราย
ผมก็ได้คิดว่าคนอย่างนี้ก็มีด้วย
จนแก่ถ้อยคำแล้วเสกสรรปั้นเรื่อง
ไม่นึกถึงเรื่องจริงๆ
ที่เกิดขึ้นเมื่อ
๒๘
ปีที่แล้วมา
นึกเสียได้ว่ามดกัด
๘.
ผู้หญิงอื่นในชีวิตผม
เรื่องผู้หญิงในชีวิตผม
ยังไม่จบแน่นอน
เพราะในบทนี้เขียนเรื่องแม่เท่านั้น
และยังมีผู้หญิงอีกมากในชีวิตของผม
มีหลายคนที่น่าเขียนให้อ่านกัน
ทำไมจึงเขียนหรือจะเขียนเรื่องผู้หญิงในชีวิต
?
ตอบได้สองประการคือ
ถ้าไม่เขียนเรื่องผู้หญิง
ก็คงต้องเขียนเรื่องผู้ชาย
ถ้าเกริ่นให้บรรณาธิการทราบว่าจะเขียนเรื่องผู้หญิงในชีวิตของผม
บรรณาธิการคงจะสนใจถึงกับใจเต้นตึกตัก
แต่ถ้าเกริ่นว่าผมจะเขียนเรื่องผู้ชายในชีวิตของผม
บรรณาธิการอาจจะเข้าใจผมผิดไปมากๆ
ก็เป็นได้
สำหรับเรื่องของผู้หญิงอื่น
ผมคิดว่าคงเขียนยากว่าเขียนเรื่องแม่
มีเหตุผลหลายประการ
ข้อสำคัญก็คือไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเขาจะยอมให้เขียน
ในบางกรณีอาจจะต้องรอให้เจ้าตัวตายไปเสียก่อน
แต่ก็หนักใจอยู่ว่าถ้าผมตายไปเสียก่อนแล้วจะเขียนได้อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าจะเขียนเรื่องเมียผม
ก็คงจะเห็นได้ชัดว่ายากเพียงใด
ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญ
เพราะในสำนักงานไหนถ้าพนักงานรู้จักเมียของหัวหน้าสำนักงานจนถึงขนาดแล้ว
มักจะมีเรื่องยุ่งพิลึก
เมื่อผมเป็นผู้ว่าการธนาคารนี้
เมียผมมีความเดือดร้อนมากอยู่ข้อหนึ่ง
คือมีคนแปลกหน้าไปหาที่บ้านแล้วเอาของขวัญของกำนัลไปให้เเสมอ
ถ้าผมอยู่บ้านก็สะดวกหน่อย
เพราะผมปฏิเสธเองได้
นอกจากจะเป็นคนรู้จักสนิทเป็นเพื่อนกัน
และของขวัญก็เล็กน้อยก็รับเอาไว้
เพราะไม่ใช่ของกำนัลสินบน
เราปฏิบัติกันอย่างนี้ตลอดมา
วันปีใหม่ปีหนึ่ง
เผอิญผมไม่อยู่บ้าน
มีพนักงานธนาคารเราคนหนึ่ง
(ซึ่งเดี๋ยวนี้ลาออกไปแล้ว)
นำกระเช้าผลไม้ไปให้ที่บ้าน
พนักงานคนนี้เมื่อปีก่อนได้นำเอากระเช้าผลไม้ไปให้ทีหนึ่งแล้ว
ผมก็บอกว่าอย่าเอามาอีกเลย
ขอบคุณมาก
เขาก็บอกว่าเขานำมาด้วยความนับถือจริงๆ
ในโลกนี้เขานับถือคนอยู่สองคน
ผมเป็นคนหนึ่งในสองคนนั้น
ผมก็ขอบใจแล้วบอกว่านับถือไว้ในใจก็ได้
ปีหน้าอย่านำมาอีกเลย
มาถึงปีที่จะเกิดเหตุ
เมียผมรับหน้าก็ปฏิบัติอย่างเคย
คือขอให้เอาของขวัญนั้นกลับไปเสีย
พูดเป็นภาษาฝรั่ง
พนักงานคนนั้นก็เซ้าซี้อยู่นั่นแหละ
เมียผมนึกว่าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษจึงใช้ภาษาไทยแทน
แต่ภาษาไทยของเมียผมใครๆก็รู้ว่าจำกัดมาก
คือพูดได้ว่า
"ไปซิ-ไปซิ"
พนักงานคนนั้นก็โกรธหาว่าขับไล่
แล้วเลยผูกใจเจ็บพยาบาทตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้
มีโอกาสที่ใด
ก็พยายามเอาความเท็จมาผสมกับความจริงเล่นงานผมทุกที
เช่นกล่าวหาว่าผมทำงานด้านอื่นเสียจนไม่ทำหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารชาติ
ราวกับว่าตนนั้นรู้จักหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารชาติเคยทำมาเป็นอย่างดี
และเมื่อจะเล่นงานด่าผมก็แว้งเลยไปด่าถึงเมียเสมอ
ประหลาดมากที่เป็นนักมวยชกใต้เข็มขัด
ข้อที่อยากให้ช่วยกันคิดก็คือ
เมียผมทำถูกหรือทำผิด
ถ้าอยากอ่านเรื่องผู้หญิงในชีวิตผมอีก
ก็ควรเขียนบอกบรรณาธิการมาและโปรดอ้างเหตุผลให้ทราบด้วยว่าทำไมถึงอยากอ่านอีก
และกลับกันถ้าไม่อยากอ่านอีกก็ช่วยเตือนกันด้วย.
|
|
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
มิถุนายน ๒๕๑๕ |
|