ในบางครั้งอวิชชาทำให้ข้อเท็จจริงผิดแปรไปก็มี
เช่น
เรื่องจำนวนคนจีนในประเทศไทย
เมื่อเลิกสงครามญี่ปุ่นใหม่ๆ
เจียงไคเช็คยืนยันว่า
ในเมืองไทยมีชาวจีนโพ้นทะเลอยู่
๓ - ๔ ล้านคน
และเรียกร้องให้ชาวจีนเหล่านั้นจงรักภักดีต่อประเทศจีน
ถ้าตรวจดูสถิติของราชการไทย
จะพบว่าคนสัญชาติจีนจริงๆ
มีเพียงไม่กี่แสนคน
ฉะนั้นที่ใครนับได้ถึงหลายล้านนั้น
ก็ต้องรวมนับลูกจีนสัญชาติไทยอย่างผมเข้าไปด้วยเป็นอันมาก
เป็นการตู่และจดสืบอย่างไม่ชอบธรรม
ต่อมารัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนก็ตู่สืบไปว่า
คนจีนโพ้นทะเลมีอยู่
๓ -๔
ล้านคนในประเทศไทย
เมื่อไม่กี่เดือนมานี้
ผู้ใหญ่ในราชการไทยเราเองก็ยังหลงแถลงออกมาได้ว่าคนจีนในไทยมีหลายล้านคน
และว่าพวกเหล่านี้จะเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติไทย
มีคนจำนวนมากที่รู้สึกน้อยใจในถ้อยคำชนิดนี้
พฤติกรรมของชาวจีนและลูกจีนในไทย
หลังจากที่คอมมิวนิสต์ยึดอำนาจในประเทศจีนได้เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๙๒
แล้ว
แตกต่างจากเดิมไปอย่างผิดหูผิดตา
ผมได้เล่าแล้วว่าเมื่อก่อนชาวจีนอย่างเตี่ยผม
ทำมาหากินได้เท่าใดก็ส่งเงินส่วนใหญ่ออกไปบำรุงครอบครัวที่เมืองจีน
ลูกหลานก็ส่งไปเรียนที่นั่น
และเมื่อแก่แล้วก็กลับไปตายเมืองจีน
ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๙๒
เป็นต้นมา
ชาวจีนในไทยยังคงส่งเงินไปบำรุงญาติที่เมืองจีนอยู่บ้าง
แต่ไม่มีใครกล้าส่งไปเป็นจำนวนมาก
เพราะเกรงจะถูกริบ
และเกรงว่าญาติจะถูกเบียดเบียนฐานเป็นพวกนายทุน
ฉะนั้นเงินที่หาได้ก็เก็บออมไว้ที่ประเทศไทยเป็นส่วนมาก
ที่มีมากก็ปลูกตึกอยู่แทนที่จะเช่าเขาอยู่อย่างแต่ก่อน
แต่เดิมชาวจีนคนไหนที่มีรถยนต์ใช้ต้องเป็นเจ้าสัว
เดี๋ยวนี้เขาซื้อรถยนต์กันเกลื่อน
ลูกหลานส่วนใหญ่ก็ให้เข้าโรงเรียนไทยแล้วเข้ามหาวิทยาลัยไทย
คบค้าสมาคมกับเพื่อนไทยมากขึ้น
มีจำนวนมากที่ได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยไทยแล้วมีความภาคภูมิใจ
รู้สึกจงรักภักดีต่อประเทศไทยมากขึ้นทุกที
น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลไทยจะดำเนินนโยบายกลมกลืนให้เป็นไทยได้สนิทยิ่งขึ้น
โดยไม่ให้น้อยเนื้อต่ำใจว่าเป็นราษฎรประเภทสอง
ด้วยความเห็นดั่งนี้
ผมจึงได้เสนอไว้ตอนต้นว่า
ปัญหาเรื่องลูกจีนในไทยแก้ไขได้ง่ายด้วยการช่วยแก้ปัญหาของลูกจีน
ผมได้พรรณนาเรื่องจีนกับลูกจีนอย่างยืดยาวในบทความนี้
แต่ก็เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับเรื่องของแม่ผม
แม่เป็นผู้หญิงที่นิยมวัฒนธรรมจีน
ขนบประเพณีจีน
แต่แม่เป็นคนไทย
ถือสัญชาติไทย
จงรักภักดีต่อไทย
เลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบวัฒนธรรมและศาสนธรรมของไทยตลอดมา
๕.
ปัญหาเศรษฐกิจของแม่
เตี่ยตายตั้งแต่ผมอายุ
๙ ขวบ
ไม่มีมรดก
ไม่มีเงินประกันชีวิต
ไม่มีบำเน็จบำนาญเหลือให้ตกทอดมาเลย
พี่ชายสองคนกลับมาหากินที่เมืองไทยแล้วแต่เงินเดือนน้อยเต็มที
ก่ำ ผม
และน้องอีก
๓ คน
ยังเล็กอยู่
กำลังเรียน
กำลังกินจุ
กำลังเติบโตขึ้น
ลุงให้ความอุปการะส่งเสียเงินให้แม่เป็นรายเดือนแต่ก็ไม่พอใช้
ในครอบครัวเรามียายและน้าสองคน
มีแม่นมน้องคนเล็ก
(ซึ่งหย่านมแล้วแต่แม่นมยังอยู่ด้วยกันกับเราเหมือนญาติ)
กับลูกสาวแม่นม
ลูกของน้าผมจากสระบุรีมาอยู่ด้วยเพื่อเรียนหนังสือ
๒ คน
แล้วยังมีญาติมาพักอาศัยด้วยไม่ขาดสาย
ฉะนั้นค่าใช้จ่ายในบ้านย่อมมากเป็นธรรมดา
ผมสองคนติดค่าเล่าเรียนที่อัสสัมชัญค้างชำระเสมอมา
หนักๆเข้าแม่ก็ต้องใช้ก่ำกับผมให้ไปขอเงินก้อนจากลุงเป็นพิเศษมาชำระค่าเล่าเรียนเสียที
ตอนราว พ.ศ.
๒๔๖๙ - ๗๐
กิจการค้าของลุงผมไม่ดีเลย
ลูกค้าถูกมรสุมโป๊ะแตก
และเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยทั่วไปเลวลง
ราคาปลาก็ตกต่ำ
ลุงผมก็อึดอัดเรื่องเงินอยู่มาก
วันหนึ่งผมขึ้นไปบนบ้านลุงแล้วขอเงินท่านมาชำระค่าเล่าเรียน
ท่านนิ่งอึ้งอยู่สักสิบนาทีเห็นจะได้
พอท่านรู้สึกตัวท่าก็พูดว่า
" ป๋วยเอ๋ย
อาแป๊ะคิดถึงเตี่ยแก"
เมื่อเตี่ยตายไปไม่นาน
ลุงได้เสนอต่อว่าให้แม่พาลูกทุกคนเว้นแต่คนโตสองคนไปอยู่เมืองจีนเสีย
ลุงรับรองเด็ดขาดว่าจะไม่ให้อนาทรร้อนใจ
จะให้พวกผมได้เรียนหนังสือทุกคน
และจะส่งเงินให้ใช้เป็นประจำ
แม่ผมปฏิเสธ
ลุงจึงแนะนำว่า
เมื่อเงินไม่พอใช้ก็ควรจะย้ายลูกจากโรงเรียนฝรั่งไปเข้าโรงเรียนหลวง
จะได้ทุ่นค่าใช้จ่ายลง
แม่ก็ไม่ยอม
ความมานะดื้อดึงของแม่ทำให้ญาติด้านจีนอ้างสุภาษิตพูดถึงแม่ว่า
"ชิ้วเส่ยอาตั้วกาชึง"
แปลว่า "มือเล็กอุดก้นใหญ่"
รายได้ของแม่ในขณะนั้น
ส่วนใหญ่เป็นเงินอุปการะจากลุง
นอกนั้นแม่พยายาม
"ติดไพ่"
ที่บ้าน
คือตั้งวงเล่นไพ่ในบ้านเพื่อเก็บ
"ค่าต๋ง"
แต่เจ้าใจว่าค่าต๋งนั้นไม่เท่าใดนัก
เพราะแม่ลงมือเล่นด้วยและคงเล่นได้บ้างเสียบ้าง
นัการพนันส่วนมากเวลาเล่นได้มักจะจ่ายเงินฟุ่มเฟือย
และมักจะจ่ายมากจนติดนิสัย
แม้วเลาเล่นเสียก็ยังจ่ายฟุ่มเฟือย
แม่เป็นคนใจกว้าง
และได้กล่าวแล้วว่าบ้านเรามีคนอยู่ประจำทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่น้อยกว่า
๑๔ - ๑๕
คนเสมอ
เรื่องอาหารแม่ถือคติว่าต้องไม่ให้ใครอดอยาก
ที่บ้านมีอาหารดีๆ
และเหลือเฟืออยู่เสมอ
เมื่อก่ำกับผมโตขึ้น
แม่ก็สนับสนุนให้ชวนเพื่อนนักเรียนไปเที่ยวที่บ้าน
เมื่อเพื่อนๆไปแม่ก็ดีใจ
จ่ายตลาดเป็นการมโหฬารเพื่อเลี้ยงเพื่อนๆผม
บางครั้งชวนกันไปกว่าสิบคน
ยิ่งตอนตรุษจีนหรือสารทแม่เป็นสั่งให้ชวนเพื่อนไปมากๆ
ให้ไปกินเลี้ยงที่บ้าน
(จะได้ไม่ไปเที่ยวเสเพลข้างนอก)
จ่ายกับข้าวไม่อั้น
เพื่อนเก่าของผมที่อ่านเรื่องนี้คงจำได้ดี
|