การครองชีพของเราอยู่ในระดับดีเกินกว่าปกติของแม่หม้ายที่เช่าห้องแถวอยู่
เมื่อก่ำกับผมยังเล็กอยู่
แม่เช่ารถม้าให้ไปส่งที่โรงเรียนบางรักและรับกลับเช้าเย็น
ไม่ให้นั่งรถรางเพราะไปห้อยโหนเดี๋ยวแข้งขาหัก
ไม่ให้เดินไปเพราะไกลเกินกำลัง
เสื้อผ้าแม่ให้นุ่งห่มผิดกว่าเพื่อนบ้าน
ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดของเพื่อนๆ
ที่โรงเรียนซึ่งเป็นลูกคนมั่งมี
ที่ผมรำคาญมากก็คือให้ใส่แหวนและสร้อยคอทองคำ
เพราะถ้าเด็กไม่มีทองติดตัวเขาจะดูถูกเอา
แม่ชอบดูละคร
"ปราโมทัย"
วิกเชียงกงอยู่ใกล้บ้าน
และให้ผมไปเป็นเพื่อนถือกระเป๋าหมากให้เสมอ
งานเรี่ยไร
งานกฐิน
ผ้าป่า
เทศน์มหาชาติ
เข้าพรรษา
ออกพรรษา
แม่ต้องร่วมด้วยทุกครั้งที่ถูกชวน
เพื่อนบ้านหรือญาติใครขัดสนมาออกมากยืมมักจะไม่ขัด
เห็นแต่บ่นว่าให้ยืมกันไปแล้วไม่ใคร่ได้คืน
เมื่อใช้จ่ายขนาดนี้
เงินที่ได้มาย่อมไม่พอแน่
ข้อนี้ผมทราบมาตั้งแต่เล็กอยู่แล้ว
เพราะถูกใช้ให้ไปขอยอยืมเงินจากพี่ป้าน้ำอาหลายคนหลายครั้ง
แต่ที่ไม่ทราบคือแม่ต้องมีภาระหนี้สินมากเพียงใด
ท่านตีวงกู้ยืมเงินกว้างขึ้นทุกที
ทีแรกก็ญาติ
ต่อมาเพื่อน
และสุดท้ายก็คนอื่น
ขั้นญาติและเพื่อนฝูงก็คงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
หรือถ้าเสียก็คงไม่แพงพอประมาณ
แต่ที่กู้จากคนอื่นๆ
คงจะเพิ่มขึ้นมากทุกที
ดอกคงจะแพงทับถมกันไป
แม่พูดเสมอว่าถึงอัตคัดเพียงใดก็ไม่ให้ใครมาดูถูก
ภาระการเงินแม่ว่าเป็นของแม่คนเดียว
ลูกเต้าหรือแม่ท่านน้องสาวท่านไม่ต้องเกี่ยวข้องไม่ต้องเป็นห่วง
แม่เป็นหม้ายเลี้ยงพวกเราอย่างนี้มาร่วม
๙ ปี ๑๐ ปี จน
พ.ศ. ๒๔๗๖
ก่ำกับผมเรียนจบมัธยมปีที่แปด
จึงออกมาทำงานกินเงินเดือนทั้งสองคน
พอจะช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านได้บ้าง
ดูเหมือนก่ำได้เงินเดือนๆละ
๕๐ บาท
ผมเดือนละ
๔๐ บาท
แต่สายเกินไปเสียแล้ว
เพราะหนี้สินของแม่ได้พอกพูนมาหลายปีเกินกว่าที่จะสามารถปลดเปลื้องด้วยเงินเดือนซึ่งอยู่ในระดับดีพอใช้
จะเป็นปี พ.ศ.
๒๔๗๖ หรือ
๒๔๗๗
จำไม่ได้แน่
แม่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่สอง
เงินหนึ่งหมื่นบาท
เพื่อนๆผมรู้กันกระฉ่อนไป
และมักจะถามผมว่าได้ส่วนแบ่งเท่าไร
ผมก็ตอบโดยสัตย์จริงว่าแม่ให้
๑๐ บาท
ไม่มีใครเชื่อ
ผมเองทราบดีว่าแม้เงิน
๑๐ บาทนั้น
ได้มาก็เป็นบุญเมตตาของแม่มากแล้ว
เพราะเมื่อได้เงินรางวัลมาแม่ก็นำไปชำระหนี้ไถ่จำนำมาจนเกือบหมด
เหลืออยู่เล็กน้อยท่านนำไปลงทุนร่วมกับญาติทำการค้าขายเพื่อให้พี่ชายคนโต
๒ คน
ได้มีงานทำเป็นหลักฐาน
เท่าที่รู้ตอนนั้นก็เพียงเท่านี้
กระนั้นก็ยังไม่กล้าเล่าให้ใครฟังตามความเป็นจริงเพราะอายเขา
เรื่องที่แม่ปกปิดพวกเราแล้วเรามาทราบภายหลังนั้น
เป็นเรื่องที่ฉกาจฉกรรจ์นัก
เมื่อเรื่องการเงินเรียบร้อยแล้วแม่จึงเล่าความจริงให้ฟังว่า
เมื่อก่อนจะถูกลอตเตอรี่นั้น
เจ้าหนี้กำลังเร่งรัดทวงหนี้แม่อยู่หลายราย
วิ่งเต้นเท่าใดก็หาเงินมาชำระเขาไม่ได้
ขอผัดผ่อนไปได้บ้าง
แต่ภาระหนี้ก็รัดตัวเข้ามาทุกที
จนกลุ้มใจนอนไม่หลับ
ครุ่นคิดอยู่
๒ - ๓ คืน
หาทางออกอย่างไรก็หาไม่ได้
ผลสุดท้ายเห็นมีทางออกอยู่ทางเดียว
คือไปกระโดดน้ำตายเสียให้พ้นทุกข์
เผอิญรุ่งขึ้นก็ถูกลอตเตอรี่
เป็นเรื่องหวาดเสียวสยอง
แต่ก็เป็นบุญพระช่วย
๖.
วิธีอบรมลูก
แม่ผมมีความคิดแบบก้าวหน้าหลายอย่าง
แต่อบรมลูกส่วนใหญ่แบบโบราณ
คือ
ทะนุถนอมจนเกินไป
เช่น
ให้ลูกผู้ชายนั่งรถม้าไปโรงเรียน
ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เล่นฟุตบอล
แม้แต่จะไปดูฟุตบอลก็ห้าม
ไปเล่นฟุตบอลเดี๋ยวแข้งขาหัก
ไปดูฟุตบอลเดี๋ยวก็แข้งขาหัก
เรื่องแข้งขาหักเป็นเรื่องที่แม่กลัวนัก
แต่ก็ไม่ว่ายที่ผมจะแอบหนีไปคือไปดูฟุตบอลเมื่อแม่ตั้งวงไพ่
ถ้าวันไหนอยากไปดูฟุตบอลแต่แม่ตั้งวงไพ่ไม่ได้ขาไม่ครบก็เป็นอด
เพราะถ้าหนีไปแม่ก็ต้องรู้
จะเล่นฟุตบอลเราก็ไปสนามหลวงหรือลุมพินีในตอนเช้าตรู่ก่อนแม่ตื่น
เมื่อผมอายุ
๑๕ ปี
ก็มีอุบัติเหตุแขนหักข้างขวาจนความแตก
ที่แขนหักนั้นไม่ใช่เพราะไปเล่นฟุตบอล
ตั้งใจจะไปเล่นที่ลุมพินี
แต่ยืมจักรยานเพื่อนขี่แล้วล้มในสนามนั้นเอง
พวกเราจะไปไหนตามปกติต้องขออนุญาตก่อนเสมอ
แม่ห้ามนักห้ามหนากลัวจะไปคบนักเลงแล้วจะเป็นอันธพาล
แต่กระนั้นผมก็ยังหลบหนีไปเล่นกีฬาอยู่เนืองๆ
แม่มีกิตติศัพท์เลื่องลือว่าดุ
มีไม้เรียวอาญาสิทธิ์เหน็บไว้หลังกระจกข้างเก้าอี้ประจำตัวของท่านที่หน้าบ้าน
แต่ท่านมักใช้ไม้เรียวตีเด็กเล็กๆ
และเลือกที่ตีคือที่ขา
ส่วนใหญ่ใช้ขู่มากกว่าตีจริงๆ
แต่ถ้าถูกตีแล้วก็ทั้งเจ็บทั้งอาย
เนื่องจากแม่เป็นพี่สาวคนโต
อาณาจักรแห่งอำนาจของท่านจึงกว้างขวางแผ่ไปถึงบ้านน้าๆผมหลายบ้าน
ลูกพี่ลูกน้องผมดื้อหรือ
ซนหรือ
ไม่กินยาหรือ
ไม่กินข้าวหรือ
ไม่อาบน้ำหรือ
พอได้ยินว่า
"คุณป้าใหญ่"
หรือ "แม่ป้าใหญ่"
มาแล้ว
เป็นเรียบร้อย
ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของแม่เดี๋ยวนี้เป็นข้าราชการชั้นอธิบดีก็มี
เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารพาณิชย์ก็มี
เป็นนายตำรวจชั้นนายพันก็มี
เป็นพนักงานธนาคารชาติก็ยังมี
เวลาลูกลานทำการบ้านเรียบร้อย
อ่านหนังสือ
วาดเขียน
ทำงานฝีมือหรือสอบไล่ได้ผลดีแม่ก็พอใจ
แต่ไม่ชมต่อหน้า
แกล้งพูดให้คนอื่นฟังโดยรู้ว่าเราได้ยิน
เพราะพวกเรามักแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน
อยู่ร่วมกันในห้องแถวแคบๆ
เช่นนั้น
ย่อมอดได้ยินได้ฟังอะไรๆไม่ได้
เมื่อผมสอบชิงทุนได้ไปเรียนเมืองนอกและทราบผลประกาศแล้ว
แม่ก็จับตระเวนไปลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทุกวันทั้งเช้าและบ่ายหลายสัปดาห์
บางครั้งรู้สึกระอาเพราะทั้งเบื่อและกระดากที่แม่พาไปโฆษณา
เพื่อของแม่บางคนที่ต้องไปลา
ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
แต่แม่บอกว่าเอาเถิดเอ็งถือกระเป๋าหมากให้แม่
ไปเป็นเพื่อนแม่ก็แล้วกัน
เคราะห์ดีผมทนไปกับแม่ทุกนัด
ถ้าไม่ไปคงนึกเสียดายและเสียใจมาจนถึงบัดนี้
เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะทำตามใจแม่
ผมไปเมืองนอกเดือนเมษายน
๒๔๘๑
ต่อมาอีก ๖
เดือน
แม่ก็ตาย
|