|
แม่เล่าให้ฟัง
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
คัดมาบางส่วนเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติใน "วันแม่" |
๖
เรียนพยาบาล
แม่เข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ (ค.ศ.๑๙๑๓) คือเมื่ออายุเกือบ ๑๓ ปี
ไม่ได้เข้าตอนต้นปีการศึกษา
แม่เป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดของรุ่นนั้นและรุ่นต่อมาอีก
นักเรียนพยาบาลทุกคนจะอยู่ด้วยกันในเรือนๆ หนึ่ง
ซึ่งชั้นบนเป็นห้องนอนและชั้นล่างเป็นห้องเรียน
ต่อมาเมื่อมีนักเรียนมากขึ้น
ทั้งสองชั้นกลายเป็นห้องนอนและห้องเรียนย้ายไปอยู่เรือนใหม่
การเยนปีแรกเป็นการเรียนทฤษฎีกับครูซึ่งเป็นแพทย์ ปีที่ ๒ และปีที่ ๓
เป็นการฝึกงานภายใต้การควบคุมของนางพยาบาล ในปีที่ ๒
ของรุ่นของแม่ต้องเข้าไปฟังภาคทฤษฎีกับปีที่ ๑ ของรุ่นต่อไปอีกที
การเรียนซ้ำโดยนั่งฟังอยู่เฉยๆ ท้ายชั้นแม่เห็นว่าน่าเบื่อ
จึงเอาลูกโป่งไปเป่าเล่น แต่ครั้งหนึ่งลูกโป่งก็แตกในกลางชั้น
การเรียนของแม่เป็นไปด้วยดี เพราะแม่เขียนและอ่านได้อย่างดี
และงานปฏิบัติก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่แม่ยังเด็กมากและชอบเล่นชอบวิ่งอยู่
ครั้งหนึ่งแม่ต้องไปช่วยในการคลอดลูก คนต้องไปตามตัวลงมาจากต้นมะม่วง
อีกครั้งหนึ่งถึงเวลาที่จะเข้าไปพยาบาลคนไข้
เมื่อคนไข้คนนั้นเห็นหน้าอันเด็กเหลือเกินของผู้ที่จะมาพยาบาลตนก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้
บางปีตอนปลายปีการศึกษาจะมีการถ่ายรูปเพื่อแลกเปลี่ยนกัน
ส่วนเสื้อผ้านั้นก็ยืมกันใส่ถ่าย
อัลบั้มรูปถ่ายเล่มแรกของแม่เต็มไปด้วยรูปครูและเพื่อนนักเรียนพยาบาล
เมื่อเรียนพยาบาลอยู่ มีเพื่อนเรียนคนหนึ่งชื่อเนื่อง จินตดุล
ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวถึงอีกภายหลัง แม่เนื่องอายุมากกว่าแม่รอบกว่า
เวลานั้นแม่ชอบแกล้งแม่เนื่องบ่อยๆ โดยมากแม่เนื่องนั่งข้างหลังแม่
ครั้งหนึ่งแม่หันไปหยิบขวดหมึกของแม่เนื่องออกไปเสีย
แม่เนื่องก็จิ้มปากกาลงไปบนโต๊ะ วันหนึ่งแม่หลอกแม่เนื่องไปที่ก๊อกน้ำในสวน
แล้วก็ไขน้ำรดขา อีกครั้งหนึ่งแม่เอากระดาษม้วนๆ มาพันตัวแม่เนื่องเป็นสไบ
ครูมาเห็นเข้าแทนที่จะดุแม่ดุเอาแม่เนื่อง ถึงอย่างไรก็ดี
แม่รักแม่เนื่องและช่วยลอกตำราให้บ่อยๆ เพราะแม่เนื่องเขียนไม่ค่อยทัน
เมื่อเรียนจบหลักสูตร ๓ ปีแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ.๑๙๑๖) แม่ก็ยังอยู่ที่ศิริราชต่อไปอีก
จะกลับไปที่บ้านพระยาอำรงฯ เป็นบางครั้ง เช่นในวันหยุด
ได้ไปสหรัฐอเมริกา
ในเวลานั้น พ.ศ.๒๔๖๐ (ค.ศ.๑๙๑๗) ทูลหม่อมฯ ประทับอยู่ที่อเมริกา
ทรงศึกษาวิชาเตรียมแพทย์มาแล้วปีหนึ่ง
และกลังทรงศึกษาวิชาแพทย์ปีที่หนึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมดิคัล
สกูล (Harvard Medical School)
เมืองบอสตัน รัฐแมสสาชูเสตต์ ประทับห้องชุด (แฟลต)
อยู่พระองค์เดียว ที่ ๓๒๙ ถนนลองวู้ด
จึงต้องพระประสงค์มหาดเล็กมารับใช้และในขณะเดียวกันจะให้เรียนหนังสือด้วย
ทูลหม่อมฯ
ทรงแจ้งกพระประสงค์กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์
กรมหมื่นไชยนาทนเรนทร (พระยศเวลานั้น ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๕ กรมขุนไชยนาทนเรนทร
พ.ศ.๒๔๙๓ กรมพระฯ พ.ศ. ๒๔๙๔ สมเด็จกรมพระยาฯ ) พระโอรสในรัชกาลที่ ๕
ซึ่งสมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงเคยเลี้ยงเหมือนกับพระโอรสแท้ๆ
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ หลังจากที่เจ้าจอมมารดา ม.ร.ว.เนื่อง สนิทวงศ์
ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อพระชันษาเพียง ๑๑ วันเท่านั้น
เวลานั้นเสด็จเสด็จในกรมไชยนาทฯ
ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสาธารณสุขในกระทรวงมหาดไทย
จึงทรงดำริที่จะส่งนักเรียนแพทย์ ๒ คน
ซึ่งจะให้เป็นนักเรียนทุนของทูลหม่อมฯ และนักเรียนพยาบาล ๒ คน
ซึ่งจะให้เป็นนักเรียนทุนของสมเด็จพระพันวัสสาฯ นักเรียนแพทย์ ๒ คน
ที่ได้รับเลือกคือ นายลิ ศรีพยัตต์ (หลวงลิปิธรรมศรีพยัตต์) และนายนิตย์
เปาวเวทย์ (หลวงนิตย์เวชชวิศิษฐ์) ซึ่งเรียนแพทย์อยู่แล้วแต่ยังไม่จบ
สำหรับนักเรียนพยาบาลนั้น เสด็จในกรมไชยนาทฯ
ทรงเลือกผู้ที่เป็นข้าหลวงทูลหม่อมหญิงฯ และสมเด็จพระพันวัสสาฯ
วันหนึ่งเสด็จในกรมไชยนาทฯ ไปที่โรงพยาบาลศิริราชและทรงเรียกให้แม่ไปเฝ้า
ทรงถามว่าอยากไปเรียนเมืองนอกไหม
แม่เล่าว่าจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าอยากไปเหลือเกิน
นักเรียนทุนหญิงอีกคนหนึ่ง คือ อุบล ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา
ซึ่งขณะนั้นเป็นนักเรียนพยาบาลอยู่ อายุมากว่าแม่ ๑ เดือน
แต่ยังเรียนพยาบาลไม่จบ
การเตรียมตัว
ในระยะ ๕- ๖ เดือนก่อนที่จะออกเดินทางไปสหรัฐฯ
แม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าและเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนวังหลัง
โดยยังค้างอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
แม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาเล็กน้อยที่โรงเรียนพยาบาลแต่เป็นขนาด " เอ บี แอ๊บ"
เมื่อเรียนที่โรงเรียนวังหลังนี้แม่จะต้องอ่านเรื่องสั้นๆ
แล้วย่อเป็นภาษาอังกฤษ ครั้งหนึ่งเป็นเรื่องคนจีนที่เดินทางไปประเทศอังกฤษ
เมื่อถึงเวลาย่อแม่ไม่รู้จักคำว่าเดินทาง เลยต้องเขียนว่า "คนจีนไปปิ๊กนิกที่อังกฤษ"
ในสมัยนั้นที่เมืองไทยยังไม่ได้ใช้นามสกุลอย่างแพร่หลายดังที่กล่าวแล้ว
ในเวลานั้นแม่ไม่มีผู้ใหญ่ชายทางครอบครัวพ่อ จึงไม่มีใครไปจดนามสกุล
เมื่อไปต่างประเทศจำเป็นที่จะมีนามสกุลในหนังสือเดินทาง
ผู้ที่ไปกันก่อนบางท่านจะถูกเรียก มิสเตอร์ นาย...(Mr.Nai...)
เช่น พระยาศัลวิธานนิเทศ เป็นมิสเตอร์ นายแอบ (Mr.Nai Aab)
(ในสมัยนั้นชื่อนายแอบ) เมื่อไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.๒๔๕๑ ยังไม่มีการใช้หนังสือเดินทาง *
และนามสกุล การติดต่อระหว่างมหาวิทยาลัยและทางราชการกรุงเทพฯ คงใช้
นายแอบ (Nai Aab)
เขาก็ลงทะเบียนถือเอาคำหลังเป็นชื่อสกุล (จากบันทึกของพระยาศัลวิธานฯ )
สมัยนั้นคงมีคนที่ชื่อ "นาย" หลายคน เมื่อแม่ไม่มีนามสกุลก็จำเป็นต้องหาให้
แม่จึงได้ใช้นามสกุลของข้าราชบริพารที่มีนามสกุลคนหนึ่ง ผู้นั้นคือ
เจ้ากรมหลี ตะละภัฎ ขุนสงขลานครินทร์ เจ้ากรมของทูลหม่อมฯ
เจ้านายที่ทรงกรมคือ เป็นกรมขุน หลวง ฯลฯ จะทรงมี "เจ้ากรม"
ซึ่งจะมีบรรดาศักดิ์ตามเจ้านายของตน เมื่อหลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว ทูลหม่อมฯ
ได้เป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์
ขุนสงขลานครินทร์ก็เลื่อนเป็นหลวงสงขลานครินทร์ ส่วนถมยา น้องชายของแม่
เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปขอจดทะเบียนที่อำเภอใช้นามสกุล "ชูกระมล"
ถึงแม้ว่าแม่ไม่เคยใช้นามสกุลชูกมล ก็อยากจะถือว่าแม่เกิดมาในสกุลนี้
*
หนังสือเดินทางเริ่มใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ.๑๙๑๐) เขียนเป็น ๔ ภาษา
ภายหลังการประชุมสันนิบาตชาติ ( League of Nations
) เรื่องหนังสือเดินทาง (Passport) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙
(ค.ศ.๑๙๒๖) ได้กำหนดให้ทุกประเทศใช้หนังสือเดินทางเป็น ๒ ภาษา สำหรับไทยใช้
ไทย-ฝรั่งเศส จนถึง พ.ศ.๒๕๑๙ เปลี่ยนเป็นใช้ ไทย-อังกฤษ (ข้อความจาก อาจิณ
จุลศิริวงศ์ โดยหนังสือสราญรมย์)
|