ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.)
จึงได้กล่าวว่าเวลาละหมาดคือเวลาที่ท่านได้พักผ่อน
มุสลิมมีโอกาสสร้างความสมดุลให้จิตใจได้ถึงวันละ 5 เวลา
สำหรับผู้ที่สมัครใจจะทำมากกว่านี้
เพื่อหวังความโปรดปรานจากพระองค์ก็มีละหมาดซุนนะห์อีกหลายประเภท
เช่น ละหมาดซุนนะห์ประจำเวลาละหมาดฟัรดู ละหมาดดุฮา
ละหมาดกลางคืน ละหมาดวิตร ละหมาดซุนนะห์หลังเอาน้ำละหมาด
และละหมาดตัสเบี๊ยะห์ เป็นต้น
ผู้ที่ปฏิบัติละหมาดโดยมีจิตใจจดจ่อมุ่งตรงต่อพระผู้อภิบาลอย่างแน่วแน่
จิตใจไม่วอกแวกแล้วเขาจะลืมทุกอย่าง
ยกเว้นนึกถึงแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
จะทำให้รู้สึกสงบเสงี่ยม นอบน้อมยอมตนต่อพระองค์ จิตใจสงบ
รู้สึกผ่อนคลายมีความสุข มีความเมตตาและเกิดความศรัทธา
นักจิตเวชเชื่อว่าหากบุคคลใดสามารถสร้างความสมดุลได้ครบทั้ง
3 ประการ คือความสมดุลทางอาหาร
ความสมดุลทางสรีระของร่างกาย และความสมดุลด้านจิตใจ
จะทำให้บุคคลนั้นมีชีวิตยืนยาวและมีแต่ความผาสุก
และจากการวิจัยพบว่า ในบรรดาความสมดุลทั้งสามอย่างนี้
การสร้างความสมดุลให้จิตใจเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่สุด
เพราะการสร้างความสมดุลด้านนี้จะทำให้จิตใจของเราสบาย
ปลอดโปร่ง ผ่อนคลายจากความตึงเครียดทั้งปวง เมื่อจิตใจสบาย
ปลอดโปร่งแล้ว
เราจะสามารถสร้างความสมดุลด้านอื่นๆอีกได้ไม่ยาก
การที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำหนด
การละหมาดให้มุสลิมปฏิบัติเป็นประจำวันละ 5 เวลานั้น
นับเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อมุสลิม
เพราะการละหมาดเป็นการแสดงความเคารพภักดีของมนุษย์ต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์และทุกสิ่ง
เป็นการแสดงความกตัญญูและเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่ต้องปฏิบัติต่อพระเจ้า
การละหมาดจะช่วยยับยั้งและปกป้องผู้กระทำให้พ้นจากความชั่ว
ทำให้ผู้กระทำได้รับการอภัยโทษจากการขออภัยและลบล้างความผิดบาปเล็กๆ
น้อยๆ ที่เขาได้กระทำ
ในขณะเดียวกันมุสลิมยังได้รับประโยชน์คือร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
ได้พักผ่อนจากการปฏิบัติละหมาดดังที่กล่าวมาข้างต้น
ผู้ที่ละหมาดโดยมีจิตใจที่จดจ่ออยู่กับอัลลอฮ์ (ซ.บ.)
ตลอดเวลาที่ละหมาด พร้อมๆ
กับในการดำเนินชีวิตนั้นเขารับประทานอาหารที่ฮาล้าล ตอยยิบ
และออกกำลังกายสม่ำเสมอ บริจาคทาน
มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รวมทั้งปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์
(ซ.บ.) ใช้ในเรื่องต่างๆ อินซาอัลลอฮ์
พระองค์จะทรงให้เขามีชีวิตที่ยืนยาว มีความผาสุก
และมีสุขภาพดี |