สายไปเสียแล้ว

ย้อนกลับ  

อ่านต่อ

     

            ดอกไม้สดบนโต๊ะบูชาส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ปนกับกลิ่นควันธูปที่พลุ่งขึ้นดูราวกับหมอกในตอนเช้าฤดูหนาว เปลวเทียนสว่างต้องพระพักตร์อันสงบนิ่งแห่งพระพุทธรูปปางมารวิชัย เสียงเนิบๆ ของผู้ทรงศีลบ่งบอกถึงความเมตตาในสรรพสัตว์ที่ยังหนักไปด้วยกิเลสธุลี
          ใบหน้าของผู้สดับพระธรรมเทศนาในขณะนั้นแทนที่จะเป็นใบหน้าของอุบาสกผู้อาจหาญรื่นเริงในธรรม  กลับเป็นใบหน้าอันซีดเซียวของชายผู้หนึ่ง ดวงตาแสดงความหวาดกลัวเหม่อมองไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
          พัน  ชายหนุ่มผู้นั้น จัดว่าเป็นคน "หน้าตาดี" ผิวเนื้อดำแดง กร้านแดดลม ร่างอันผอมเกร็งของเขาสั่นเทิ้ม  เมื่อนึกย้อนไปถึงวันหนึ่งในอดีต เขาเรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์ด้วยคะแนนไม่เลวนัก  แต่ยังขาดทุนซึ่งจะศึกษาต่อในชั้นอุดมศึกษา  เรียนต่อก็ได้หรอก แต่ภาพแม่ทำงานงานตัวเป็นเกลียวเพื่อเลี้ยงดูส่งเสียเขา  ยังน้องๆ อีกห้าหกคนให้เรียนได้ถึงขั้นนี้ผุดขึ้นในจิตสำนึกของเขา แม่ทำงานเพื่ออนาคตของลูกทุกคน พ่อตายตั้งแต่น้องคนเล็กยังแบเบาะ  กลับบ้านดีกว่า หรือจะหางานทำจะได้ช่วยส่งน้องสักคนสองคน
          วิถีชีวิตของพันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในขณะนี้มาก ถ้าเขาไม่ได้พบกับวิชัยโดยบังเอิญ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขึ้นรถไฟกลับบ้านในเย็นวันนั้น
          " นั่น พัน ใช่ไหม "  วิชัยตรงเข้ามาถาม
          วิชัยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพันตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยมด้วยกัน พ่อของวิชัยเป็นพ่อค้าที่ฐานะค่อนข้างดี สมัยอยู่โรงเรียน วิชัยมีความประพฤติไม่สู้ดีนัก ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียน
          " ใช่ นั่นวิชัยใช่ไหม "
          แต่แรกพันจำวิชัยไม่ได้  เพราะท่าทางของเขาดูภูมิฐานผิดกับสมัยเป็นนักเรียนมาก
          " ไม่ได้เจอกันเสียนาน ตอนนี้นายทำอะไร " วิชัยถาม
          " ยังไม่ได้ทำอะไร เพิ่งเรียนจบ กำลังหางานทำ ไม่ได้ก็กลับไปช่วยแม่ทำนา สมัยนี้จบแค่ ม.๘ อย่างเราหางานทำยาก "
          " มาทำงานกับเราเถอะ เงินดี แล้วง่ายมาก นายคงทำได้ "
          ครั้งแรกพันลังเลใจ แต่พอวิชัยเอ่ยจำนวนเงิน พันก็ตกลงใจรับทำงาน
          มันเป็นงานง่ายๆ  สะดวกสบายจริงๆ ดังที่วิชัยรับรอง พันมีหน้าที่รับกระเป๋าเอกสารจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เชียงราย แล้วโดยสารรถไฟนำกระเป๋าเอกสารนั้นไปส่งให้เพื่อนอีกคนหนึ่งที่สถานีหัวลำโพง บางครั้งก็ขับรถบรรทุกซุงจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
          การทำงานอย่างซื่อตรงไม่สอดรู้สอดเห็นของพัน ทำให้วิชัยเพิ่มความไว้วางใจในตัวเขา จนกระทั่งเปลี่ยนงานให้ใหม่  ทำให้พันทราบต้นตอของสิ่งที่เขาขนมาเป็นเวลานาน  ทั้งฝิ่นทั้งเฮโรอีน... พันตกใจเมื่อทราบความจริง  สมัยเด็กๆ หลวงปู่ที่วัดเคยพร่ำสอนว่ายาเสพติดเป็นของไม่ดี  เมื่อเสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ เป็นทางนำไปสู่ทุคติ เป็นบาป  แต่ "ช่างเถอะ" พันคิด  "คนอื่นสูบ ไม่ใช่เรา"  ก็ไม่ใช่เพราะฝิ่นและเฮโรอีนนี่หรือที่ทำให้เขาพ้นจากความยากจน น้องๆ ของพันทุกคนได้เรียนในโรงเรียนชั้นดี แม่ของพันก็มีเข็มขัดทองคาด ไม่ต้องทำนาเหนื่อยยากอีกต่อไป  งานของเขาเจริญรุดหน้าไป ขณะนั้นพันไม่คิดถึงเรื่องอื่นแม้แต่มนุษยธรรมเสียแล้ว "เงิน" เท่านั้นที่เขานึกถึง เขาทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน
          พันกับวิชัยค่อยๆ ขยายกิจการของเขาให้แพร่หลายออกไป โดยส่งคนคนเข้าแทรกซึม ชักชวนให้นักเรียนเสพยาเสพติด  ในที่สุดงานทุจริตของเขาก็ไม่พ้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปได้  ตำรวจเข้าล้อมร้านขายอาหารซึ่งเป็นสถานที่ดำเนินงาน  วิชัยและพันพยายามต่อสู้เจ้าหน้าที่ วิชัยถูกกระสุนปืนเจ้าหน้าที่ตาย ส่วนพันถูกจับได้พร้อมทั้งของกลาง  เป็นเฮโรอีนมูลค่าสามล้านบาท เขาถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำ ถูกสอบปากคำ และอื่นๆ เหมือนอาชญากรทั้งหลาย
          ในที่คุมขังนี้เองที่พันกลับย้อนคิดไปถึงความผิดชอบชั่วดีอีกครั้งหนึ่ง  คำสอนของหลวงปู่ก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และเมื่อเขายังเป็นลูกศิษย์วัดก้นกุฏิชองท่าน
          " ไอ้พัน ขอให้เอ็งทำงานสุจริตเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีผลเสีย "
          " ยาเสพติด เครื่องดองของเมาเป็นของไม่ดี เสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ เป็นทางไปสู่ทุคติ เป็นบาป "
          " การนำผู้อื่นไปสู่ความหายนะเป็นบาป "
          " อย่าทำความชั่ว เชื่อข้าเถอะ ไอ้พัน เอ็งก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว ข้าก็ได้พร่ำสอนเอ็งมาตั้งแต่เล็กๆ ความชั่วน่ะไม่เคยทำให้ใครเจริญหรอก มันเป็นแต่ทางของความเสื่อม"

   

อ่านต่อ


 

   กลับไปฟังนิทาน    กลับห้องสมุด