อุปกรณ์ตรวจวัดแรงกดดันที่ก้นมหาสมุทร (ocean-bottom
presure sensors) สามารถตรวจวัดคลื่นสึนามิในมหามหาสมุทรเปิดและส่งข้อมูลรายงานที่สำคัญเกี่ยวกับการแพร่กระจายของคลื่นสึนามิในมหาสมุทรน้ำลึก
นอกจากนี้
ดาวเทียมสื่อสารทำให้เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาตรวจจับและยืนยันการก่อตัวของคลื่นสึนามิในมหาสมุทรลึกได้ทันทีทันใด
ห้องปฏิบัติการวิจัยสิ่งแวดล้อมทางทะเลในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific
Marine Environmental Laboratory : PMEL) ของ
NOAA ได้ริเริ่มพัฒนาทุ่นลอยเพื่อตรวจจับคลื่นสึนามิ
(Tsunami detection buoy)
ขึ้น และภายในปี 2003 ทุ่นลอยเพื่อตรวจจับคลื่นสึนามิจำนวน 7 ทุ่น
ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือและตะวันออก
จะเริ่มทำงานบริการข้อมูลให้แก่ศูนย์เตือนภัยเกี่ยวกับคลื่นสึนามิต่างๆ ได้
ด้วยเครื่องมือและรูปแบบการจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้น
จะช่วยทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงกลไกการก่อกำเนิดของคลื่นสึนามิได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 15 มกามคม 2548 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ได้ประกาศ แผนการจัดทำระบบเตือนภัยสึนามิ ของสหรัฐอเมริกาขึ้น
ซึ่งระบบนี้ครอบคลุมทั้งบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก
โดยการติดตั้งทุ่นลอยไฮเทค 38
ทุ่นทำงานคู่กับเครื่องบันทึกความดันที่ติดตั้งอยู่ใต้มหาสมุทร
ทุ่นลอยไฮเทคเหล่านี้ ประกอบด้วยจำนวน 25 ทุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเพิ่มจาก 6
ทุ่นที่ทำงานอยู่เดิม และสำรอง 2 ทุ่นไว้ที่นอกฝั่งอลาสกา
นอกจากนี้ในมหาสมุทรแอตแลนติกจะติดตั้งทุ่นลอย 5 ทุ่น และในทะเลแคริบเบียน 2
ทุ่น เพื่อครอบคลุมการดูแลอ่าวแม็กซิโกเป็นครั้งแรก
ระบบจะเริ่มใช้งานได้กลางปี พ.ศ.2550
นักวิทยาศาสตร์ด้านแผ่นดินไหว (Seismologists)
ที่ศึกษาการเกิดแผ่นดินไหวด้วยเครื่องวัดความไหวสะเทือนแบบช่วงคลื่นกว้าง
20-0.003 เฮิรตซ์ (board band seismometer)
กำลังหาวิธีการใหม่ในการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของแผ่นดินและปริมาณพลังงานที่ปล่อยออกมาจากแผ่นดินไหว
เนื่องจากการวัดระดับความรุนแรงด้วยมาตราริกเตอร์ (Richter)
ใช้กันมานาน เป็นการวัดจากคลื่นบริเวณพื้นผิว (surface
wave) ซึ่งไม่แม่นยำเมื่อระดับความรุนแรงเกิน
7.5
วิธีการสมัยใหม่สำหรับการคำนวณพลังงานที่ปลดปล่อยมาจากแผ่นดินไหวและศักยภาพของการกำเนินคลื่นสึนามิ
จะใช้ค่า seismic moment และระยะเวลาของแหล่งกำเนิด
(source duration)
ระบบสมัยใหม่สามารถระบุความลึกของแผ่นดินไหว ลักษณะรอยแตกของเปลือกโลก
ขอบเขตของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกได้ทันตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (real
time) ซึ่งช่วยให้ศูนย์เตือนภัยต่างๆ
สามารถยืนยันความเป็นไปได้ของการเกิดคลื่นสึนามิได้ดีขึ้นมาก
การก่อตัวของคลื่นสึนามิ
ตั้งต้นจากการบิดเบี้ยวของพื้นมหาสมุทรในสามมิติ
เนื่องจากการเคลื่อนที่ของรอยแตกของเปลือกโลก
เมื่อเราสามารถจำแนกกลไกของแผ่นดินไหวด้วยลักษณะของการเคลื่อนตัวของรอยแตกของเปลือกโลกได้ชัดเจนขึ้นแล้ว
จะทำให้สามารถแสดงรูปแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นการแพร่กระจายของคลื่น
ระดับน้ำทะเลหนุน และระยะทางเข้าฝั่งที่ถูกคลื่นสึนามิซัดท่วมถึงได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากขึ้นด้วย
ในปัจจุบันรูปแบบจำลองลักษณะของการแพร่กระจายของคลื่นสึนามิโดยทั่วไปจะใช้วิธีการที่เรียกว่า
"implicit-in-time finite difference method"
รูปแบบจำลองเพื่อคำนวณระยะทางเข้าสู่ฝั่งที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง (inundation)
ซึ่งบอกให้ทราบว่าพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่จะถูกน้ำท่วมมากน้อยเพียงใด
ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนและการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับคลื่นสึนามิ
การใช้รูปแบบการคำนวณระยะทางเข้าสู่ฝั่งสูงสุดที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง
จะช่วยกำหนดว่าจะต้องอพยพผู้คนออกนอกเขตใด
และควรใช้เส้นทางใดเพื่อการย้ายผู้คนในชุมชนชายฝั่งไปสู่ที่ซึ่งปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิให้อพยพ
|
รูปจำลองของการเกิดคลื่นสึนามิ ณ
ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1995
แสดงให้เห็นผลระดับน้ำทะเลหนุนสูง และระยะทางเข้าสู่ฝั่งที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง
โดยเทียบกับระดับน้ำทะเลปกติ และเส้นแนวชายฝั่ง (เส้นสีขาวในภาพ)
บริเวณอ่าวทาโอกุ (Tahauku)
เมืองฮิวาโฮ (Hiva Hoa)
บนหมู่เกาะมาเคซัส (Marquesas Islands)
ของหมู่เกาะโพลินีเว๊ยของฝรั่งเศส (French
Polynesia)
เหตุการณ์นี้ทำให้เรือเล็กจำนวน 2 ลำ อับปางลงบริเวณอ่าวทาโอกุ |
|
|
|
รูปจำลองของคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากการก่อตัวของคลื่นสึนามิเป็นเวลา 9 ชั่วโมง
|
|