ภาพอธิบายการเกิดแผ่นดินไหวและการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกในเชิงธรณีวิทยา
ได้แบ่งโครงสร้างของโลกเป็น 3 ส่วนใหญ่ เรียกว่า เปลือกโลก (Crust)
เนื้อโลก (Mantle)
และแกนโลก (Core)
แผ่นเปลือกโลกจะประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) ธรณีภาคชั้นนอก หรือ ลิโทสเฟียร์
(Lithosphere)
ซึ่งเป็นส่วนเปลือกโลกส่วนที่เป็นของแข็งห่อหุ้มอยู่ชั้นนอกสุดของโลก
และเป็นแผ่นขนาดเล็กจำนวนมากมีความหนาประมาณ 70-250 กิโลเมตร (40-150 ไมล์) (2)
ฐานธรณีภาค หรือ แอสเทโนสเฟียร์ (Asthenosphere)
เป็นส่วนบนสุดของชั้นเนื้อโลก มีลักษณะเป็นหินหลอมเหลวที่เรียกว่า
หินหนืด (Magma)
มีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นได้ อยู่ลึกจากผิวโลกลงไป 100-350 กิโลเมตร
.................................................................................................................................................
ทฤษฎีแผ่นเปลือกโลก
ทฤษฎีแผ่นเปลือกโลก (plate
tectonics)
สมมุติภาพผิวโลกว่าประกอบด้วยแผ่นหินเปลือกโลก (lithospheric
plates) ที่หนาประมาณ 70-250 กิโลเมตร (40-150
ไมล์) จำนวนไม่กี่แผ่น
ลอยเลื่อนไปมาอยู่บนผิวโลกชั้นล่างที่เหลวและเหนียวหนืด (asthenosphere)
แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้ครอบคลุมผิวโลกทั้งหมด
ทั้งที่เป็นทวีปและพื้นมหาสมุทร
โดยที่มีการเคลื่อนตัวไปมาระหว่างกันในอัตราไม่เกิน 10 เซนติเมตรต่อปี
บริเวณที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นมาสัมผัสกัน เรียกว่า "บริเวณขอบแผ่น" (plate
boundary) (อาจเห็นภาพง่ายกว่าหากเรียกว่า "บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่น")
การบอกชนิดจะกำหนดตามวิธีเคลื่อนที่ของแผ่นหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกแผ่นหนึ่ง
รอยต่อระหว่างแผ่นมีหลายแบบ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีเคลื่อนตัวที่แผ่นหนึ่งกระทำต่ออีกแผ่นหนึ่งซึ่งวิธีเคลื่อนตัวมีอยู่
3 แบบ คือ
-
แบบกระจายตัว
(spreading)
คือเมื่อแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเคลื่อนที่ออกจากัน
-
แบบมุดตัว (subduction)
คือแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนเข้าหากัน
โดยที่แผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งมุดเข้าไปอยู่ใต้เปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง และ
-
แบบเปลี่ยนรูป (transform)
คือแผ่นเปลือกโลกจำนวนสองแผ่นเคลื่อนที่ในแนวนอนผ่านซึ่งกันและกัน
บริเวณที่มีโอกาสสูงในการเกิดคลื่นสึนามิได้คือ
บริเวณที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนแบบมุดตัว (subduction
zone)
ซึ่งสามารถสังเกตได้จากแนวร่องลึกใต้มหาสมุทร (deep
ocean trenches)
และเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟ
หรือแนวภูเขาไฟที่ผุดขึ้นมาคู่กับร่องลึกในบริเวณขอบมหาสมุทรแปซิฟิก
บริเวณดังกล่าวนี้ในบางครั้งเรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ (The
Ring of Fire)
แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ
แผ่นดินไหวอาจเกิดมาจากภูเขาไฟระเบิด
แต่แผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนที่บริเวณรอยแตกของเปลือกโลก
แผ่นดินไหวระดับที่มีความรุนแรงมากหรือที่ปล่อยพลังงานเท่ากับร้อยละ 80
ของพลังงานที่เกิดจากแผ่นดินไหวทั่วโลก
มักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เกิดการมุดตัว
ซึ่งพื้นผิวโลกใต้มหาสมุทรมีการเคลื่อนตัวมุดเข้าไปใต้พื้นแผ่นทวีปหรือใต้แผ่นท้องมหาสมุทรที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นมาใหม่
|
คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวในทะเลญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนตัวเข้าถล่มเกาะโอกุชิริ
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ปี 1983
ระดับน้ำหนุนในภาพมีความสูง 5.9 เมตร (19 ฟุต)
แต่ระดับน้ำหนุนวัดได้ที่จังหวัดอากิตะ
ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวไปทางตะวันออกประมาณ 100
กิโลเมตร มีระดับสูงถึง 14 เมตร (45 ฟุต)
และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้รวมทั้งหมด 100 คน ในจำนวนนี้ 3
คนเสียชีวิตที่ประเทศเกาหลีใต้
ซึ่งคลื่นยักษ์เดินทางมาถึงภายหลังเกิดแผ่นดินไหวแล้วชั่วโมงครึ่ง
(รายงานของมหาวิทยาลัยโตไก ประเทศญี่ปุ่น) |
แผ่นดินไหวใช่ว่าจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิทุกครั้งไป คลื่นสึนามิจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อแผ่นดินไหวที่รอยแตกของเปลือกโลกนั้นต้องอยู่ใต้หรือใกล้กับมหาสมุทร
และไปทำให้พื้นสมุทรมีการเคลื่อนที่ในแนวตั้ง (ขนาดความสูงหลายเมตร)
ในพื้นที่กว้าง (ถึงหนึ่งแสนตารางกิโลเมตร) แผ่นดินไหวในบริเวณน้ำตื้น
(ลึกไม่เกิน 70 กิโลเมตร หรือ 42 ไมล์) ตามแนวการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก
เป็นตัวการก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่มีอานุภาพในการทำลายสูงที่สุด
กลไกที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ คือ
ปริมาณการเคลื่อนไหวทั้งแนวตั้งและแนวนอนของพื้นสมุทร
ความกว้างของบริเวณที่เกิดการเคลื่อนไหว
การทรุดตัวของชั้นตะกอนใต้ทะเลที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสั่นสะเทือน
และประสิทธิภาพของการถ่ายเทพลังงานจากเปลือกโลกไปยังน้ำในมหาสมุทร
(อ่านต่อ) หน้า
1 2
|