ตะแบกนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Lagerstroemia floribunda Jack
วงศ์ :
LYTHRACEAE
ชื่อสามัญ
:
ชื่ออื่น :
กระแบก
(สงขลา) ตราแบกปรี้ (เขมร) ตะแบกไข่ (ราชบุรี , ตราด)
บางอตะมะกอ (มลายู-ยะลา, ปัตตานี) บางอมายู
(มลายู-นราธิวาส) เปื๋อยด้อง เปื๋อยนา (ลำปาง)
เปื๋อยหางค่าง (แพร่)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
ผลัดใบ สูง 15-30 เมตร ลำต้นเปลา ตรง
ส่วนโคนต้นเป็นพูพอนสูงๆ ผิวเปลือกเรียบ เป็นมัน
สีเทาหรือเทาอมขาว และมีรอยแผลเป็นๆ หลุมตื้นๆ
ตลอดลำต้น กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงแน่น เรือนยอดเป็นพุ่มกลม
กิ่งใหญ่ที่แตกจากลำต้นมักชูกิ่งขึ้นข้างบนอย่างน้อยก็ทำมุมชี้ขึ้นไม่น้อยกว่า
45 องศา ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว
ติดตรงข้ามหรือเยื้องกันมากน้อยตามแต่โอกาส
ทรงใบรูปขอบขนานและรูปหอก กว้าง 5-7 ซม. ยาว 12-20
ซม. เนื้อใบหนา
ตัวใบมักจะม้วนขอบทั้งสองข้างขึ้นข้างบน
ใบอ่อนออกสีแดงและมีขนสั้นๆ อ่อนนุ่มปกคลุม
พอใบแก่จะเกลี้ยงหรือเหลือขนเพียงประปรายเท่านั้น
เส้นแขนงใบ มี 8-15 คู่
ปลายเส้นจะโค้งจรดกับเส้นถัดไปก่อนถึงขอบใบ
เส้นใบย่อยแบบเส้นขั้นบันไดและเส้นร่างแหพอมองเห็นได้ทางด้านท้องใบ
ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นบ้างเล็กน้อย ก้านใบสั้นมาก
ยาวไม่เกิน 5 มม. ดอก สีม่วงปนชมพูหรือสีกุหลาบ
นานเข้าจะออกสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อใหญ่ๆ ตามปลายกิ่ง
ช่อมักกว้างและยาวไม่น้อยกว่า 30 ซม.
กลีบดอกเป็นแผ่นกลมและมีก้านสั้นๆ
ทำให้ดูช่ออัดแน่นมาก ส่วนดอกตูมคล้ายกับรูปลูกข่าง
มีจุกสั้นๆ ติดอยู่เป็นกระจุกที่ส่วนบนสุด
โคนกลีบฐานดอกติดกันเป็นรูปกรวยหงายหรือรูปถ้วย
มีสันตามยาวประมาณ 12 สัน มีขนสั้นๆ
สีน้ำตาลเหลืองคลุมแน่นทางด้านนอก
ส่วนด้านในมีขนประปราย รังไข่ รูปไข่ มีขนคลุมแน่น
ภายในแบ่งเป็น 6 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อนมาก ผล
เป็นชนิดผลแห้ง รูปรีๆ ยาวไม่เกิน 2 ซม.
มีขนคลุมประปราย พอแก่จัดจะแตกทางด้านบนเป็น 6 เสี่ยง
เมล็ดเล็ก มีปีกโค้งๆ ทางด้านบนหนึ่งปีก
ระยะการออกดอกออกผล
เริ่มผลัดใบระหว่างเดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์
เวลาผลัดใบมักจะทิ้งใบหมด
ใบอ่อนจะผลิออกมาใหม่เต็มต้นเสียก่อน
จึงจะเริ่มออกช่อดอกระหว่างเดือน มิถุนายน - ตุลาคม
ผลแก่จะแก่จัดในเดือน มีนาคม
ตะแบกนาเป็นพรรณไม้พื้นของป่าเบญจพรรณชื้น ป่าดงดิบ
ป่าน้ำท่วม และตามท้องนาทั่วทุกภาคของประเทศ
ที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 20-300 เมตร
การขยายพันธุ์นิยมใช้เมล็ดเพาะ
ประโยชน์ :
เนื้อไม้
สีน้ำตาลถึงน้ำตาลอมเทา เนื้อละเอียด แข็ง
แต่ใจกลางมักผุเป็นโพรง
ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่ต้องการรับน้ำหนักมากๆ เช่น เสา
กระดานพื้น รอด ตง คาน และทำเครื่องใช้ทางการเกษตร
เป็นต้น |