ประเพณีการบวช
๑. บวชเณร
วัฒนธรรมเกี่ยวกับพิธีพวชเณร
มีอยู่อย่างไร
ในหนังสือเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน"
อ้างไว้ชัดเจนดี
พิธีบวชเณรเป็นพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาพิธีหนึ่งที่เกี่ยวกับการศึกษาของเด็กรุ่นหนุ่ม
พลายแก้วบวชเณรเมื่ออายุ
๑๕ ปี ทำพิธีที่วัดใหญ่
จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อมีการบวชเณร
เจ้าของงานก็ต้องเตรียมซื้อของสำหรับบวชมี
สบง จีวร สไบ รัดประคต ย่าม
บาตร
ส่วนแม่ครัวก็เตรียมทำอาหารกัน
ผู้จะบวชก็อาบน้ำทาขมิ้นแต่งตัวอย่างสวยงามแล้วก็เอาร่มกางให้คนแบกมายังวัด
ส่วนเครื่องบวชและอาหารก็นำมายังวัดด้วย
เมื่อถึงวัดสมภารก็โกนหัว
โกนคิ้วให้
แล้วพามายังศาลาซึ่งมีพระสงฆ์คอยอยู่แล้ว
ผู้บวชอุ้มไตรเข้าไปไหว้ขอบรรพชา
พระสงฆ์ก็ทำพิธีบวชให้โดยให้รับไตรสรณาคม
เสร็จแล้วมีการตักบาตรเลี้ยงพระ
พระฉันเสร็จก็ให้ศีลให้พร
แล้วก็ตรวจน้ำเป็นการเสร็จพิธี
อนึ่ง ควรสังเกตว่า
การบวชเณรเรียกว่าบรรพชา
บวชพระเรียกว่า อุปสมบท
เณรถือศีล ๑๐ พระถือศีล ๒๒๗
การบวชเณรเป็นวัฒนธรรมต่อมาจนกระทั้งปัจจุบันนี้แม้จะลดน้อยลงไปบ้าง
ก็ถือยังเป็นวัฒนธรรม
ทางภาคเหนือทำพิธีบวชเณรกันเอิกเกริกมากมีการแห่แหนใหญ่โตเรียกว่า
" แห่ลูกกแก้ว "
๒.
บวชพระ
การบวชเมื่อถึงปีบวชเป็นประเพณีชีวิตอย่างหนึ่งของไทย
ถึงปีบวชหมายถึงอายุ ๒๑ ปี
บริบูรณ์
ประเพณีการบวชนั้นมีคุณอยู่หลายประการ
๑.
เป็นการรักษาประเพณีวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ
๒.
เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา
เชื่อกันมาแต่โบราณบิดามารดาที่ได้บวชบุตรของตนนั้นได้บุญสูงสุด
ชาวบ้านเชื่อกันว่าบิดามารดาสามารถเกาะชายจีวรของบุตรไปสวรรค์ได้เลยทีเดียว
๓.
เป็นการศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ
ความหมายของการบวชนั้นก็น่าศึกษา
มีศัพท์ที่จำเป็นต้องศึกษาอยู่
๒ คำคือ
-
บรรพชา
หมายถึงการบวชตอนเป็นสามเณร
-
อุปสมบท
หมายถึงการบวชต่อจากการเป็นสามเณร
โดยปกติถือกันว่าลูกที่ดีต้องบวชก่อนแต่งงาน
ถ้าใครแต่งงานก่อนก็ถูกครหาด้วยการเล่นคำว่า
" เบียดก่อนบวช"
ทองประศรีแม่พลายแก้วก็เคยกล่าวแก่พลายแก้วว่า
"
บวชก่อนอย่าเพ่อมีเมียเลย
แม่จะได้ชมเชยชายจีวร"
ใครรังไม่ได้บวชถือกันว่ายังเป็นคนดิบอยู่
ย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้หลักผู้ใหญ่
บางท่านไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับคนดิบก็มี
ตามธรรมดาชายไทยมักบวชหนเดียวแล้วก็สึกออกมาทำมาหากิน
แต่บางรายก็กลับไปบวชอีกเป็นครั้งที่
๒
ชาวบ้านก็ยังไม่ติเตียน
แต่ถ้าใครบวชถึง ๓
ครั้งได้นามว่า
เป็นชายสามโบสถ์
แสดงว่าเป็นการไม่น่านับถือด้วยประการทั้งปวง
มีภาวะอย่างเดียวกับผู้หญิงที่แต่งงานสามหน
ฉะนั้นท่านจึงดูหมิ่นคนทั้งสองพวกนี้ว่าเป็น
ชายสามโบสถ์-หญิงสามผัว
|