ภูมิศาสตร์มนุษยโลก

         ใครเป็นผู้สร้างโลก ?
         ข้อนี้เป็นปัญหาปรัชญานาคิด  คนทุกศาสนาถกปัญหานี้กันตามทรรศะของตน
      
สำหรับคติข้างพราหมณ์  ถือว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้าง
         ส่วนคติพุทธศาสนานั้นนัยว่าสมเด็จพระบรมศาสดาของเรามิได้ทรงกล่าวถึงเรื่องการสร้างโลก  แต่ท่านได้ตอบอย่างฉลาดว่า  เรื่องการสร้างโลกนั้นไม่ควรพะวงถึง  เขาจะทราบกันเองในอนาคตว่าใครเป็นผู้สร้าง
          มนุษย์มาจากไหน ? นี่เป็นปัญหาน่าคิด  คติข้างพราหมณ์ว่ามนุษย์มากจาก มนู คือคนที่ ๑ ที่พระพรหมสร้างขึ้น  มนูจึงเป็นปฐมชนกแห่งคนในโลก  นี่เป็นความคิดครั้งแรกรุ่นเดียวกันกับที่มีพระเวทขึ้น  ฎีกามาลัยสูตรก็ให้คำแปลมนุษย์ไว้ ๓ อย่างคือ

  1. ผู้เป็นเหล่ากอของพระมนู

  2. ผู้รู้สิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์

  3. ผู้มีจิตใจสูง

ในตอนหลังเกิดตำรับกฎหมายขึ้นชื่อว่ามานวธรรมศาสตร์กล่าวว่า  พระมนูเป็นผู้สร้างตำรับนี้และพระมนูองค์นี้ได้สร้างมนุษย์ขึ้นก่อนจะสร้างกฎหมาย  ตามตำรับนี้ถือว่า  พระมนูมิได้มีเพียงองค์เดียว  แต่มีถึง ๑๔ องค์ ที่เกิดแล้วก็มีอยู่ ๗ องค์ชื่อ

  1. พระมนูสวายัมภูวะ (เป็นโอรสพระพรหมและผู้แต่งตำรับมานวธรรมศาสตร์)

  2. พระมนูสวาโรจิษะ

  3. พระมนูเอาตตมิ

  4. พระมนูตามะสะ

  5. พระมนูไรวตะ

  6. พระมนูจากษุษะ

  7. พระมนูไววัสวัต

             พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงเล่าไว้ในหนังสือบ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์ว่า " เมื่อสิ้นมนูยุคที่ ๖ แล้วก็เริ่มมันวันตะระที่ ๗ คือยุคของพระมนูไววัสวัต พระมนูได้ช้อนปลาเล็กได้ตัวหนึ่ง ซึ่งนำไปเลี้ยงไว้ แต่หาภาชนะอะไรใส่ไม่พอเลย  ยิ่งหาภาชนะโตขึ้นปลาก็โตขึ้นตาม จนปล่อยสระก็สระคับแคบ  ปล่อยแม่น้ำก็คับแม่น้ำ ปล่อยมหาสมุทรก็เต็มมหาสมุทร  พระมนูรู้ว่าเป็นพระเป็นเจ้า ก็นมัสการตามสมควร  พระมัตสยาวตารจึงสอนให้พระมนูต่อเรือลำใหญ่  ต้อนสัตว์ลงไปอย่างละคู่  และเก็บพืชพรรณต่างๆอย่างละเล็กละน้อยไปในเรือนั้น  ครั้นอยู่มาไม่ช้าก็มีฝนแสนห่าตกท่วมโลก  พระมนูลงเรืออยู่แล้วจึงไม่เป็นอันตราย  และพระมนูโยงเรือนั้นเข้ากับพระมหามัตสยะ พระมหามัตสยะก็ลากเรือแล่นไป  และกล่าวอนุศาสน์พระมนูในกิจการตางๆ จนเมื่อฝนหายและน้ำลดแล้ว พระมนูจึงขึ้นจากเรือ พระมนูนี้เรียกว่า ประชาบดี เพราะเป็นมหาชนกแห่งชนทั้งปวง  บรรดาที่มีอยู่ในโลกนี้และโดยเหตุที่ชนได้กำเนิดมาแต่กพระมนูจึงได้นามว่ามนุษย์ "
            ส่วนพระมนูที่จะมาเกิดในอนาคตอีก ๗ องค์นั้นมีนามดังนี้

  1. พระมนูสาวรณี

  2. พระมนูทักษะสาวรณี

  3. พระมนูพรหมสาวรณี

  4. พระมนูธรรมสาวรณี

  5. พระมนูรุทรสาวรณี

  6. พระมนูเราจะยะ หรือเทวสาวรณี

  7. พระมนูเภาตยะ หรืออินทรสาวรณี

              ภูมิศาสตร์มนุษยโลกนี้มุ่งหมายจะเขียนเพื่อนักศึกษวรรณคดี ไม่ใช่เพื่อนักศึกษาภูมิศาสตร์ ตามตำรับภูมิศาสตร์โบราณ  ท่านแบ่งมนุษย์โลกว่ามีอยู่ ๔ ทวีป คือ

  1. ทวีปอุตตรกุรุ  อยู่ทางเหนือ  คนมีรูปหน้าเป็นสี่มุม  คือหน้าสี่เหลี่ยม

  2. ชมพูทวีป  อยู่ทางใต้  คนมีรูปหน้ากลมดังดุมเกวียน

  3. ปุพพวิเทห์  อยุ่ทางตะวันออก  คนมีรูปหน้าดังจันทร์เพ็ญ  กลมดังหน้าแว่น

  4. อมรโคยาน  อยู่ทางทิศตะวันตก  คนมีรูปหน้าดังเดือนแรม ๘ ค่ำ

         ในระหว่างทวีปเหล่านี้มีมหาสมุทรคั่น  ดังที่นายนรินทร์เรียกว่า นทีสี่สมุทร  ดังโคลงของท่านที่ว่า

ี่นทีสี่สมุทรม้วย
ตีมิงคล์มังกรนาคผาย
หยาดเหมพิรุณหาย
แสนสาดแสนร้อยร้อน
หมดสาย
ผาดส้อน
เหือดโลก  แล้งแม่
ฤๅเถ้าเรียมทน

             ทวีปทั้ง ๔ นี้ศ฿กษาจากหนังสือไตรภูมิพระร่วงพอเก็บความได้ดังนี้

  1. อุตตรกุรุทวีป  ทวีปนี้อยู่ทางเหนือของภูเขาพระสุเมรุมีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม   เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์  เป็นที่ราบมีต้นไม้นานาชนิด คนรูปร่งงาม  ในแผ่นดินอุตตรกุรุมีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง  คนจึงไม่ต้องทำงาน  อยากได้อะไรก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์

  2. ชาพูทวีป  ชมพูทวีปคืออินเดีย  อยู่ทางใต้เขาพระสุเมรุ รุปเหมือนรูปเกวียน  มีต้นไม้หว้ามากในทวีปนี้  ประเทศเราโบราณถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป

  3. ปุพพวิเทห์  ทวีปนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขาพระสุเมรุ  มีรูปเหมือนพระจันทร์เต็มดวง  เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์  มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ  มีไม้ซีกประจำทวีปนี้  คนหน้ากลมดังพระจันทร์

  4. ทวีปอมรโคยาน ทวีปนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขาพระสุเมรุ  มีรูปเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก  เป็นแผ่นดินกว้าง ๙,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย มีไม้กระทุ่มประจำทวีปนี้  คนหน้าดังเดือนแรม  จมูกโด่งคางแหลม.