ความสลับซับซ้อนที่เกิดขึ้นในภาพที่กล่าวถึง
คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ป่าธรรมชาติถูกเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ฉ่ำชุ่มอุ้มน้ำไว้ตลอดเวลา
ที่น้ำจะซึมออกมาเรื่อยๆ
โดยที่ฟองน้ำจะไม่เหือดแห้ง
ตราบที่ต้นไม้ใหญ่น้อยเติบโตปกคลุมผืนดิน
เพราะว่า เมื่อฝนตกลงมา
ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูกาลที่ลมมรสุมพัดพามา
หรือฝนที่ตกจากการกลั่นตัวของไอน้ำตามภูเขาสูงในป่าทึบผืนใหญ่
ความสลับซับซ้อนในโครงสร้างสังคมป่าและรูปแบบ
ก็จะเป็นเสมือนกันชน
ที่ป้องกันไม่ให้ความแรงของสายฝนตกกระทบพื้นดินโดยตรง
การลดแรงปะทะของสายฝนที่เริ่มตั้งแต่ ชั้นเรือนยอด
กิ่งก้าน ใบ ลำต้น
จนถึงหน้าดินที่ถูกปกคลุมด้วยเศษซากพืช
ก่อนจะค่อยๆ ซึมผ่านชั้นดิน
แล้วไหลลงไปรวมสะสมไว้ในชั้นหิน
จากนั้นน้ำจะเคลื่อนตัวด้วยแรงดันในผิวโลก
ไหลไปตามรอยแตกของชั้นหิน
ถ้ารอยแตกนั้นลึกลงไปจากผิวโลกเรื่อยๆ
น้ำก็จะไปสะสมเป็นน้ำใต้ดิน
ที่มนุษย์สามารถนำมันมาใช้ด้วยการขุดเจาะบ่อบาดาล
แล้วดูดน้ำมาใช้
แต่ถ้ารอยแตกของชั้นหินเป็นเส้นทางที่ขึ้นสู่ผิวโลก
น้ำก็จะถูกดันออกมา ซึ่งเรียกว่า ตาน้ำ
|