ครั้งหนึ่ง
ยังมีขุนนางผู้หนึ่ง คอยรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทองค์พระเจ้าแผ่นดิน
ท่านขุนนางเป็นผู้ที่มีความสามารถและสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน
ลูกน้องก็ล้วนแต่รักใคร่
เมื่อท่านขุนนางถึงเวลาเกษียณอายุราชการ
พระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชทานไข่มุกเม็ดงามและหายากมากให้แก่ท่านขุนนาง 1
เม็ด พร้อมกับรับสั่งให้เก็บรักษาไข่มุกไว้ให้ดี
ท่านขุนนางดีใจมากพลางคิดในใจว่า
"
เราจะต้องเก็บรักษาไข่มุกเม็ดนี้ไว้เท่าชีวิต
จะไม่ยอมให้บุบสลายหรือเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย "
แล้วท่านขุนนางก็ทูลลากลับไปยังที่อยู่ของตน
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว
ท่านขุนนางก็นำไข่มุกให้ภรรยาและบุตรดูเป็นบุญตา
"โอโฮ!
ไข่มุกเม็ดงามจริงๆ นะพี่ คงจะหายากมากนะ"
ภรรยาท่านขุนนางชื่นชมในความงามของไข่มุกมาก
"แน่ละสิ
ก็ฉันเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ รับใช้แผ่นดินมานาน
พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงเมตตา จึงพระราชทานมาให้เป็นบุญของพวกเราจริวๆ "
ครอบครัวของท่านขุนนางปลาบปลื้มใจกันมาก
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
บรรดาเพื่อนและคนรู้จักกับท่านขุนนางก็พากันมาขอชมไข่มุกเม็ดงามกันมากมาย
"ได้ข่าวว่าท่านได้รับพระราชทานไข่มุกมา ขอให้พวกฉันได้ชมเป็นบุญตาบ้างสิ
เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย ได้ไหม? "
ท่านขุนนางไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนๆ ได้ แต่ก็ยอมให้ดูแต่ห่างๆ
และไม่ยอมให้ใครแตะต้องไข่มุกแม้แต่น้อย
จนกระทั่งวันหนึ่ง
หลานชายคนเดียวของท่านขุนนางชื่อนวลเดินทางมาจากบ้านนอกเพื่อเยี่ยมเยียนท่านขหุนนาง
และอยากให้ท่านขุนนางช่วยฝากตัวเข้ารับราชการอีกด้วย
นวลเป็นคนมีความรู้และมีความสามารถ ทั้งยังเป็นคนซื่อสัตย์
อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง จึงคิดที่จะเป็นขุนนาง
" เป็นอย่างไรบ้างหลานชาย
ไม่ได้พบกันเสียนาน พ่อกับแม่ของหลานสบายดีหรือ?
ไม่เห็นส่งข่าวมาบ้างเลย" ท่านขุนนางรู้สึกดีใจมากที่หลานชายมาเยี่ยม
เพราะไม่ได้พบกันมานาน และท่านขุนนางก็รักหลานชายคนนี้มาก
"
พ่อกับแม่ของหลานสบายดีขอรับ ท่านฝากความระลึกถึงมายังคุณลุงด้วยขอรับ"
"ขอบใจมากนะหลาน
มากคราวนี้อยู่กับลุงนานๆ หน่อยนะ " ท่านขุนนางต้อนรับหลานชายอย่างดี
เมื่อได้โอกาส
นวลจึงเกริ่นเรื่องที่ตนอยากรับราชการกับท่านขุนนาง
" คุณลุงขอรับ
หลานอยากเป็นขุนนาง ทำงานรับใช้แผ่นดิน
หลานอยากให้คุณลุงช่วยกรุณาฝากหลานเข้ารับราชการด้วยขอรับ"
" หลานอยากเป็นขุนนางจริงๆ
หรือ ลุงดีใจมากที่หลานคิดเช่นนี้ ลุงเต็มใจช่วยหลานอย่างเต็มที่ เอาละ!
วันนี้เราต้องมาฉลองกันหน่อยนะ
แล้วลุงก็มีของมีค่าชิ้นหนึ่งจะให้หลานดูด้วย"
ท่านขุนนางจัดอาหารและสุรามาเลี้ยงนวล
และนำไข่มุกเม็ดงามออกมาให้ดูอย่างใกล้ชิด ดื่มเหล้าพลางก็คุยกันไป
จนเมาหลับไปด้วยกันทั้งคู่
ไข่มุกที่ท่านขุนนางถืออยู่ในมือก็หลุดตกลงไปในรอยแยกของฝากระดาน
ลงไปอยู่ในช่องรอยแยกนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อท่านขุนนางตื่นขึ้นมาก็ไม่พบนวล
ทันใดนั้นก็นึกถึงไข่มุกที่นำออกมาเมื่อวาน แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ
จึงคิดว่านวลต้องเป็นผู้ขโมยไปอย่างแน่นอน
"
เจ้านวลมันกล้าขโมยไข่มุกของฉันเชียวหรือนี่ เจ็บใจจริงๆ
ต้องจับมันกลับมาให้ได้ " ท่านขุนนางโกรธมาก
สั่งบ่าวไพร่ในบ้านให้ออกตามหาตัวนวล พวกบ่าวไพร่พบนวลอยู่ในตลาด
จึงช่วยกันจับตัวกลับมาให้ท่านขุนนางจนได้
"
แกกล้ามากนะที่มาขโมยไข่มุกของฉัน เอามาคืนฉันเดี๋ยวนี้นะ
แล้วฉันจะไม่เอาเรื่องแก" ท่านขุนนางยังมีความเมตตาต่อนวลอยู่
" หลานไม่ได้ขโมยไปนะขอรับ
คุณลุงเชื่อหลานสิขอรับ" นวลตกใจมากที่ถูกหาว่าเป็นขโมย
พยายามอธิบายให้ท่านขุนนางเชื่อ แต่ท่านขุนนางไม่ยอมฟัง จึงจับนวลไปขังคุก
ภรรยาท่านขุนนางไม่เชื่อว่านวลจะเป็นขโมย
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านขุนนางก็ไม่ยอมฟัง เพราะความโกรธและเสียดายของ
ดังนั้นภรรยาท่านขุนนางกับลูกจึงช่วยกันค้นหาในห้องที่ท่านขุนนางหยิบไข่มุกออกมา
ค้นกันอยู่เป็นเวลานานจนเริ่มท้อใจ
บังเอิญภรรยาท่านขุนนางมองไปพบรอยแยกบนฝากระดานเรือน จึงเดินเข้าไปมองใกล้ๆ
"อยู่นี่เอง!
นวลไม่ได้ขโมยไปจริงๆ นั่นแหละ โชคดีจริงๆ ที่พบจนได้ "
นางรีบนำไข่มุกไปให้ท่านขุนนาง เพื่อจะได้ปล่อยตัวนวลออกมาจากคุก
ท่านขุนนางเสียใจมากที่เข้าใจผิด คิดว่าหลานเป็นคนขโมย
หลังจากที่ปล่อยนวลออกมาจากคุกแล้ว ท่านขุนนางก็ได้กล่าวคำขอโทษต่อนวล
ซึ่งนวลก็ไม่ได้คิดโกรธท่านขุนนางเลยแม้แต่น้อย ต่อมาภายหลัง
นวลได้เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ดังใจหวัง และเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านมาก
คนดีมีความสามารถอย่างท่านขุนนาง
ทำเรื่องผิดพลาดขึ้นเพราะสุราเป็นเหตุ เมื่อของรักหายไป
ด้วยความโกรธจึงโทษนวล หาว่าเป็นคนขโมย ตรงกับสำนวนไทยว่า
ของหายตะพายบาป คือ ตนเองเป็นคนทำของหาย
แต่กลับไปโทษคนอื่น หากหาไข่มุกไม่พบ
ท่านขุนนางจะต้องทำความผิดมากขึ้นไปอีกแน่นอน เห็นไหมคะ
คนเราเมื่อขาดสติ ก็มักทำไม่สมควรเสมอละค่ะ และเรื่องนี้ก็เป็นอุทธาหรณ์ให้กับอีกหลายๆ
เรื่องในสังคม |
** นำมาจากหนังสือนิตยสารคุณค่าสำหรับเด็ก
ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2535 ตอนเด็กๆ
ยายเม้าเคยได้ยินปู่ย่าตายายมักพูดคำนี้บ่อยๆ
ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจความหมาย ครั้นโตขึ้นก็เริ่มพอเข้าใจบ้าง
เมื่อได้พบนิทานเรื่องนี้จากหนังสือ ถูกใจมาก เห็นว่ามีประโยชน์
จึงนำมาเล่าให้เด็กๆ ฟังค่ะ
|